เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาเทศน์เป็นธรรมะออกไป พวกทางยุโรปนี่เขาอ่านอินเตอร์เน็ต เขาฟังธรรมของหลวงตาแล้วเขาซึ้งใจมาก เขาซึ้งใจมากว่าเขาอ่านพระไตรปิฎกแล้วเขาศึกษามานะ ศึกษามาแล้วจะหาที่พึ่งหาที่พึ่งไม่ได้ แล้วก็ไม่มีใครชี้นำเขานะ เขามาจากอเมริกามาจากยุโรปนั่งเครื่องบินมานะ มากราบหลวงตา มาฟังเทศน์หลวงตา เอาความลังเลสงสัยมาถามหลวงตานะ พอถามหลวงตาเสร็จท่านก็บอกว่า เขาบอกว่า เออ ตั้งแต่บัดนี้ไปเขาก็เชื่อมั่นแล้วว่ามันมีที่พึ่ง มันมีที่อาศัย มันมีที่เป็นไปได้จริง แต่ก่อนก็คาดหมายว่ามันจะเป็นอย่างไรหนอ มันจะเป็นอย่างไรหนอ คิดว่ามันถึงกึ่งพุทธกาลไง มรรคผลนิพพานมันจะหมดสิ้นไปไง
เราดูในประวัติศาสตร์เห็นไหม ตอนนี้เขาขุดค้นในประวัติศาสตร์ ในหลุมฝังศพ นี่สามพันปี สี่พันปี ห้าพันปี จากที่แล้วนี่ ก่อนที่จะเกิดศาสนา ความเชื่อของเขาเป็นอย่างหนึ่ง พิธีกรรม ประเพณีวัฒนธรรมของเขาเป็นอย่างหนึ่ง การฝังศพของเขาความเชื่อของเขาเป็นส่วนหนึ่ง ก่อนที่จะเกิดพุทธศาสนานี้มันก็มีศาสนาพราหมณ์อยู่แล้ว เห็นไหม ศาสนาพราหมณ์คือความเชื่อ ความเชื่อ การอ้อนวอน การบูชายัญ บูชาว่าให้เกิดสิ่งที่ตัวเองปรารถนา
คนเราปรารถนาแต่ความดีปรารถนาแต่ความสุขทั้งนั้น แล้วปรารถนาอ้อนวอนเอา มันพิธีกรรมไง นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีความเชื่อเรามีความศรัทธา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศน์ เทศน์อนุปุพพกถา เทศน์เรื่องจากทานก่อน ทาน ศีล เห็นไหม ให้มีทานก่อน เรื่องของทานเรื่องของการสละ แล้วเรื่องเนกขัมมบารมี ถ้ามีเนกขัมมบารมีมันจะเริ่มออก ออกจากความผูกพันของโลกไง เรามีความผูกพันของโลก ทุกๆ คนเรารักเขา เราต้องการให้ทุกคนมีความสุข สังคมต้องการให้มีความสุข สิ่งนี้เรามีความสุข เราช่วยเหลือเขา เราเจือจานเขา สิ่งนี้เป็นศาสนสมบัติ
สิ่งที่เป็นศาสนสมบัติ เวลาสร้างบุญกุศลอันนี้เกิดบนพระอินทร์แน่นอน ถ้าเราทำสาธารณะประโยชน์ สิ่งที่เกิดนี้เกิดโดยทำคุณงามความดี ทาน ศีล เห็นไหม ศีลเรื่องของเทวดา เรื่องของจิตที่เป็นไป เรื่องการอ้อนวอนเอา แต่เวลาจิตอ่อน จิตควรแก่การงานแล้วถึงเทศน์เรื่องอริยสัจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเน้นเรื่องอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แต่ถ้าเอาทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มาเทศน์ตั้งแต่ว่าเรามีพื้นฐานของการอ้อนวอน เราก็บอกว่าอ้อนวอนเอาเอง ทำไมครูบาอาจารย์ไม่สามารถชี้ให้เราเห็นได้ล่ะ ทำไมครูบาอาจารย์ไม่สามารถเอาอริยสัจนี้เข้ามาในดวงใจให้เราเห็นได้ล่ะ
มันจะเห็นได้อย่างไร ในเมื่อมันเหมือนกับว่าสิ่งที่เราเป็นไข้ เราเป็นโรคเป็นภัย เราต้องกินยา เราต้องรักษาตัวเราเอง ถ้าเรารักษาตัวเราเอง เรารักษาไข้ของเราได้ แต่เมื่อเรายังไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เราก็คิดว่าเห็นเรื่องยาไม่เป็นความสำคัญ ใจมันยังไม่สมควรที่จะเป็นไป มันก็ไม่เป็นไปตามอำนาจอย่างนั้น
ก่อนที่จะเกิดศาสนา ๒,๕๐๐ ปีนี้เราว่าเก่าแก่มาก แต่เวลาเขาตรวจฟอสซิลกัน เป็นสี่ล้านปี ห้าล้านปี สิบๆ ล้านปี โลกนี้จะเวียนไปอย่างนี้ตลอด เรื่องของโลกเรื่องเป็นอจินไตย มันจะเวียนไปตามอำนาจของมัน แล้วอำนาจเรื่องแต่กรรมที่มันเป็นไป แต่จิตเวลามันเกิดขึ้นมามันเกิดตายๆ เราเกิดตายเจอสภาวะแบบนั้นมาตลอด แต่เราก็จำของเราไม่ได้ พอเราเกิดมาในปัจจุบันนี้ เราก็ว่ามีแค่ปัจจุบันนี้
หนึ่งร้อยปีนี้สั้นมาก เวลามันผ่านไป สิ่งนี้สั้นมาก ๒,๕๐๐ ปียิ่งสั้นใหญ่เลย ความเป็นไปขนาดนี้เอง แต่เราก็ว่าสิ่งนี้กึ่งพุทธกาลแล้วเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ถ้าเราเชื่อหรือไม่เชื่อมันต้องย้อนกลับมา อย่างที่ว่าเขาอยู่ถึงอเมริกา เขาอยู่ถึงยุโรป เพราะอะไร เพราะว่าในเรื่องของวัตถุ ในเรื่องของความเป็นไปของโลก เขามีถึงที่สุดในโลกนี้มีอะไรเขามีหมดแล้ว แต่ทำไมหัวใจมันไม่มีความสุขล่ะ ทำไมหัวใจมันไม่สงบไม่ระงับของมันได้ล่ะ
ใจนี้กินธรรมเป็นอาหาร ธรรมนี้คืออะไร ถ้าไม่มีศาสนาพุทธของเรานะ มันก็เป็นเรื่องของความเชื่อ เห็นไหม เรื่องของพราหมณ์ เรื่องของอ้อนวอน เรื่องการขอเอา แต่เรื่องการขอเอา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบารมีมาก็เป็นการขอเอาเพราะเป็นอธิษฐานบารมี เราอธิษฐานให้เกิดขึ้นมา เราตั้งเป้าแล้ว เราพยายามเข้าถึงเป้าแล้ว
อธิษฐานบารมี เห็นไหม บารมีที่การสั่งสมมา แต่อริยสัจนี้มันเป็นการชำระบริสุทธิ์โดยปัจจุบันนี้ ถ้าบริสุทธิ์ในปัจจุบันนี้ วิธีการ เห็นไหม วิธีการของจิต วิทยาศาสตร์ทางจิต จิตนี้จะพิสูจน์ของเราเองได้ด้วยทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา สิ่งนี้มีอยู่แล้ว เจ้าชายสิทธัตถะไปเรียนกับอาฬารดาบสก็เข้าสมาบัติ ๘ อย่างนี้ ทำความสงบของใจเพราะอะไร เพราะไฟ เราจุดไปหมดเชื้อมันก็ต้องดับไปธรรมชาติของมัน จิตนี้ฟุ้งซ่านขนาดไหน มันก็ต้องสงบไปโดยธรรมชาติของมัน สิ่งนี้มันมีอยู่แล้วถ้าเรามีสติไปควบคุมมัน
สิ่งที่มีสติไปควบคุมมัน มันเป็นปัญญาของโลก เราสามารถทำได้ เราสามารถทำความเข้าใจได้ เราก็ทำสิ่งนี้ได้ แต่เรื่องของอริยสัจ อาสวักขยญาณ ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก่อน สิ่งนี้มันจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะมันเป็นความละเอียดอ่อนในเรื่องของใจมาก ขณะใจนี่เราว่าเป็นนามธรรมนะ จับต้องไม่ได้ สิ่งที่เป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ แต่ถ้าทำความสงบของใจ จิตนี้ตั้งมั่น ถ้าจิตนี้ไม่ตั้งมั่น ไม่เป็นเอกัคคตารมณ์ ทำความสงบของใจเหมือนกัน เราก็ทำความสงบของใจเหมือนกัน แต่เราไม่มีสติควบคุม เป็นมิจฉาสมาธิ เพราะมันไม่ตั้งมั่น มันควบคุมไม่ได้ มันมีแต่ความว่าง เวลาทำความสงบเข้าไปนี่ว่างมาก ปล่อยวางมากๆ
ปล่อยวางแล้วทำอะไรได้ล่ะ ปล่อยวางแล้วมันก็เหมือนว่าวเชือกขาด มันไม่สามารถควบคุมได้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะตั้งสัมมาสมาธิถึงเป็นมรรค ๘ ไง มรรค ๘ มีสัมมาสมาธิ สัมมาสติ ถ้ามีสัมมาสมาธิเป็นสัมมา เป็นสัมมาเพราะอะไร เพราะมันมีศีลไง ถึงว่าทาน ศีล ภาวนา ควบคุมให้มันเป็นสัมมาคือว่า ให้มันควบคุมสิ่งนี้ได้ สิ่งที่เป็นนามธรรม มันเอกัคคตารมณ์ จิตนี้ตั้งมั่นได้เพราะเอาจิตนี้วิปัสสนา จิตนี้ออกรับรู้ต่างๆ แต่ถ้าเราปล่อยว่างเฉยๆ
ก่อนที่จะเกิดพุทธศาสนา เรื่องของพราหมณ์เขาก็ว่างอย่างนั้น ว่างแล้วไม่สามารถควบคุมได้ ว่างแล้วเรามีความสงสัย ถึงต้องอ้อนวอน ถึงต้องขอเอาไง ขอไปพบสิ่งต่างๆ ขอให้กลับไปอยู่อาตมัน สิ่งต่างๆ ความเห็นของตัว เห็นไหม ต้องกลับไปอยู่กับสิ่งที่จิตเดิมอันนั้น แต่ไม่เห็นความจิตเดิมของตัวเอง จิตเดิมของตัวเองมีสภาวะความรับรู้ สิ่งที่ความรับรู้ของใจนี้ไม่เคยตาย มันจะเวียนไปตามธรรมชาติของมัน
เวลาเราไปเผาศพ เห็นไหม เวียน ๓ รอบ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ในมัดตราสังก็เหมือนกัน ห่วงบุตร ห่วงภรรยา ห่วงต่างๆ คุกตะรางเขายังมีวันออก แต่ความห่วงของใจมันไม่เคยออก ใจนี้มันห่วง ขนาดเราจะเป็นจะตายขนาดไหน เราก็ต้องห่วง ห่วงลูก ห่วงบุตร ห่วงภรรยา ห่วงทุกอย่างไปหมดเลย สิ่งนี้มันชำระไม่ได้ มันมีแต่สงบลง เห็นไหม ทำความสงบจิตมันสงบลง แต่มันไม่มีอริยสัจขึ้นมาคืองานชอบ งานชอบคืองานอะไร
ทุกคนว่าจะฆ่ากิเลสนะ หากิเลส สิ่งที่กิเลสคือความโลภ ความโกรธ ความหลง เราจะฆ่ามัน ก็ไปกดความโลภ ความโกรธ ความหลง ว่าอันนี้มันเบาบางลงแล้ว เราชำระกิเลสแล้ว สิ่งที่ชำระกิเลสขนาดไหน มันก็เหมือนเชื้อไฟ ถ้าเชื้อไฟเราชำระแล้ว นี่พระเขามาถามว่า จะชำระความกลัวได้อย่างไร ความกลัวนี่เราชำระได้อย่างหยาบๆ แล้วพอชนะมันเดี๋ยวมันก็เกิดอีก ความกลัวจะเกิดตลอดไป เพราะอะไร เพราะเราเข้าใจสิ่งหนึ่ง แต่ความลังเลสงสัย อวิชชาอยู่ในหัวใจ มันก็จะไปกลัวอีกสิ่งหนึ่ง ไม่กลัวสิ่งใดในโลกนี้เลย ก็มากลัวจิตของเราจะไปไหน ลังเลสงสัยในความเห็นของตัว
ถ้ายังมีพื้นฐานของเชื้อโรคอวิชชาอยู่ในหัวใจ มันจะมีความกลัว ความเศร้าหมอง ความผ่องใสในใจนั้นหยาบละเอียดตลอดไป สิ่งนี้มันจะยังมีตลอดไป ถ้าเราว่าชำระกิเลสเราไปกดความโลภ ความโกรธ ความหลงของเรา อันนั้นมันเป็นความสงบของใจเท่านั้น ถ้าใจสงบ เห็นไหม มันสงบเข้ามา มันปล่อยวางเข้ามามันก็เป็นอิสระของมันเข้ามาก็ชั่วคราว สิ่งนี้เป็นอนิจจัง สิ่งต่างๆ สัพเพ ธัมมา อนัตตา สิ่งที่เป็นอนัตตา จิตก็เป็นอนัตตา ความเป็นอนัตตา แต่พื้นฐานของจิต ฐีติจิตไม่เป็นอนัตตา มันมีอยู่โดยธรรมชาติของมันอย่างนั้น มันถึงเข้ากับนิพพานได้โดยธรรมชาติอย่างนั้น เพราะถ้ามันทำความสะอาดของใจได้ ใจนี้สะอาดหมด ใจนั้นมีอยู่ แต่ไม่เวียนไปตามอวิชชาคือความไม่รู้ ถ้ามันรู้รอบแล้วมันจะเวียนไปไหน
เพราะคนเข้าใจ เห็นไหม เราเข้าใจว่าเราเดินไปข้างหน้านี่เราต้องใช้พลังงาน อดีต อนาคต เป็นพลังงานหมด มันอยู่กับปัจจุบัน แล้วปัจจุบันก็ไม่พร่อง สิ่งที่ไม่พร่องนี่จิตอันนี้สมบูรณ์ เห็นไหม กับจิตที่มีอวิชชาอยู่มันไม่เข้าใจตัวมันเอง มันต้องเวียนไปตามธรรมชาติของมันอย่างนั้น มันหมุนไปตามธรรมชาติอันนั้นออกไปตลอดไป ความสงบของใจมีเท่านี้
ก่อนเกิดพุทธกาลนี้เขาว่า มีลัทธิต่างๆ ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด เพราะทำจิตสงบ แล้วพยายามรักษาใจของเราตลอดไป เขารักษาใจของเขาอย่างนั้น แต่ถ้าเขาตายไปนะ เขาก็เกิดเป็นพรหม เพราะจิตมันสงบเท่านั้น จิตสงบแล้วก็ไม่เป็นสัมมาสมาธิไง แต่ถ้าสัมมาสมาธิเรามีสติควบคุมอยู่แล้วย้อนกลับเข้ามา เราจะชำระกิเลส
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกต้องสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม กายกับจิต จิตตัวนี้ ตัวความรู้สึกอันนี้ มันไปเกาะเกี่ยว เกาะเกี่ยวก็เพราะเหตุใด ทำไมมันถึงไปเกาะเกี่ยวเขา เกาะเกี่ยวเขาเพราะมันมีฐานของมันเอง ฐานคือว่า สัมมาสมาธิ ตัวจิตออกวิปัสสนา ฐานตัวนี้ความคิดมาจากไหน
ความคิด เห็นไหม เราว่าวัตถุต่างๆ มันต้องมีที่มาที่ไป แล้วความคิดมีที่มาที่ไปจากไหน มันมีที่มาที่ไปจากภวาสวะคือฐานของใจ ถ้ามีฐานของใจ เราย้อนกลับมาจิตนี้คิดมาจากอะไร ตัณหาความทะยานอยากความเห็นของมันออกไปอย่างไร ปัญญาในศาสนาพุทธอยู่ตรงนี้ ภาวนามยปัญญาจะเกิดขึ้นมาเพราะจิตสงบแล้วย้อนกลับเข้ามาดูกายกับจิต
ถ้าดูกาย วิปัสสนากาย เห็นสภาวะกายนี่ กายเป็นของเราไหม สมบัติที่เราหามาว่าเป็นของเรา เราเกิดมากับร่างกายของเรานะ ร่างกายกับหัวใจนี่เป็นของเรา มันยังไม่ใช่เลย เพราะถ้ามันเป็นของเราเราต้องสั่งมันได้ เราต้องควบคุมมันได้ มันต้องอยู่กับเราตลอดไปได้ กายนี้ให้อาศัยชั่วคราว เพราะอำนาจวาสนาเกิดมามนุษย์สมบัติ สิ่งที่มนุษย์สมบัติคือมีร่างกาย ถ้าเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เขาก็เป็นทิพย์ของเขา เขาไม่มีร่างกายของเขา เมื่อไม่มีร่างกายขึ้นมา เราต้องใช้ตัวนี้ เพราะกิเลสมันอาศัยสิ่งนี้เป็นฐานไง ถ้าเราทำลายฐานของกิเลส เราทำลายสิ่งต่างๆ ที่กิเลสเป็นฐาน ด้วยวิปัสสนาญาณนะ คนเราตายไปมันก็ทำลายเหมือนกัน ต้องเผาไฟเหมือนกัน ซากศพนี้เอาเผาไฟ ต้องเผาไฟ ต้องทำลายไป แต่เผาอย่างนี้จิตมันออกไปแล้ว
เวลามันออกไปจากใจมันอาลัยอาวรณ์นะ มันเศร้าหมองมาก เพราะมันติดข้องอยู่ในโลกนี้ ไม่อยากไป ไปข้างหน้าก็จะไปเจออะไรก็ไม่รู้ แล้วมันก็หลุดออกไปแล้ว ไอ้ที่จะเผานี้คือคนอยู่ไง ลูกหลานเอาซากศพนี้ไปเผา จิตดวงนั้นไม่รับรู้ไง แต่ถ้าวิปัสสนานะ จิตนี้เป็นผู้วิปัสสนาแล้วมันเห็นสภาวะภายใน เพราะจิตนี้เป็นสัมมาสมาธิแล้วทำงานชอบ
ทำงานชอบคือการวิปัสสนากายกับจิต การฆ่ากิเลสที่ออกไปคิดจากภายนอกนั้นมันเป็นปัญญาโลกียะ มันเป็นฌานโลกีย์ มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันกดจิตเข้ามาให้ผ่อนคลายเข้ามาเท่านั้น ถ้ามันยังไม่มีภาวนามยปัญญา ยังไม่มีปัญญาตัวนี้ชำระกิเลสตัวนี้ มันจะชำระกิเลสไม่ได้ไง แต่ความเข้าใจ การประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เราฆ่ากิเลสแล้ว เราทำให้ความโลภ ความโกรธ ความหลง เบาบางลงแล้ว เรามีศีลแล้ว เราปฏิบัติแล้ว เดี๋ยวนี้เราไม่โกรธเลย
มันยังไม่ถึงจุด มันยังไม่ถึงมีสิ่งใดไปเขี่ยใจดวงนั้น ขนาดฤๅษีนะ เหาะไปในอากาศไปเจอผู้หญิงอาบน้ำยังตกจากอากาศเลย เพราะอะไร เพราะขณะที่มันไปเขี่ยไง เวลาจิตมันไปกระทบอันนั้นมันจะแสดงออก สิ่งที่แสดงออก เราขณะเหาะเหินเดินฟ้าได้มันยังแสดงออก นี่ไง ว่าละความโลภ ความโกรธ ความหลง เพราะมันควบคุมไว้ มันยังไม่มีสิ่งใดจี้ใจดำ ถ้าใจจี้ได้เข้าไปกิเลสมันจะฟูขึ้นมาทันที ถ้ากิเลสฟูเราจะรู้ว่านี้เราก็มีกิเลสอยู่
แต่ในการวิปัสสนามันจะย้อนกลับเข้ามาทำลายกายกับจิต ทำลายฐานของมันคือจิตที่มันออกไปรับรู้ จากเริ่มความสงบเข้ามาว่าความคิดมาจากไหน เราใคร่ครวญความคิดเข้ามามันเกาะเกี่ยว โลกนี้มีเพราะมีเรา ถ้าเราไม่มีโลกก็เป็นอย่างนี้ เก้อๆ เขินๆ อย่างนี้ โลกนี้มีเพราะมีเรา เพราะจิตนี้ไปเกาะเกี่ยวเขา ปัญญามันไล่อย่างนี้เข้ามา มันก็สงบเข้ามาๆ ต้องสงบจากภายนอกไปก่อน สงบจากโลกียะ โลกียปัญญานี่สงบเข้ามา ถ้าจิตยกขึ้นวิปัสสนาได้จะเป็นโลกุตตระ ธรรมเหนือโลก ธรรมพ้นจากโลก ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมจากศาสนาพุทธไง ธรรมคือภาวนามยปัญญาที่เกิดขึ้นมาอันนี้ไง
ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นมา ย้อนกลับเข้ามาได้ ถ้ายกอันนี้ขึ้นได้นั่นล่ะเดินโสดาปัตติมรรค ผู้นี้จะทำลายกิเลสโดยธรรมชาติ โดยความเป็นจริง โดยสัจธรรม สัจธรรมคือทำลายฐานที่ว่าเริ่มต้นจากความคิด จากความคิดอยู่ที่ไหน เราให้มันสงบตัวเข้ามา แล้วเราทำลายฐานที่มันจะเกิดก่อตัวขึ้นมาได้ ถ้ามันก่อตัวจากฐานของมัน ถ้าเราทำลายฐานของมันนี้คือการฆ่ากิเลส นี้คือการทำลายกิเลส ทำลายทั้งความยึดมั่นถือมั่นจากภายนอกเข้ามาด้วย มันหดเข้ามาอยู่ในถ้ำ ต้องระเบิดถ้ำ ระเบิดที่อยู่ของมัน ถ้าระเบิดที่อยู่นี้คือการชำระกิเลส นี้คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้โดยธรรมไง
ถ้าสภาวธรรมเกิดขึ้นมาอย่างนี้ ศาสนาสอนอย่างนี้ มันถึงลึกลับมหัศจรรย์ไง จะมีความคิด เราเป็นปัญญาชน เราว่าเราใช้ความคิด เราใช้ปัญญาแล้ว เราว่าเราใช้ปัญญาแล้วนะ นี่เราฆ่ากิเลสแล้ว พอปัญญานี่มันใคร่ครวญ มันสำนึกตัว มันรู้ตัวทัน มันก็สงบตัวลง นี่โง่ ๒ ชั้นนะ โง่ ๒ ชั้นเพราะอะไร เพราะเราใช้ปัญญาชวนเราใช้ความคิดนี่มันเป็นวิชาชีพ มันเป็นวิชาของโลกเขา มันเป็นการจำมาจากตำราของครูบาอาจารย์ต่างๆ เห็นไหม นี่ปัญญาของเรา แล้วเราก็ว่าเราฆ่ากิเลสแล้ว กิเลสมันก็หลบอยู่นั้น เราก็ว่าเราฉลาด
โง่ ๒ ชั้น ๒ ชั้นคือว่าเรายึดมั่นถือมั่นความเห็นของเราเกินไป เราไม่ใช้ความทดสอบของใจว่ามันฆ่ากิเลสจริงหรือเปล่า ความเห็นอย่างนั้นเป็นปัญญาอบรมสมาธิ เป็นโลกียปัญญาเท่านั้น ถ้ามันปล่อยวางเข้ามาแล้วค้นคว้าหาอันนี้ อันนี้ละเอียดอ่อนมาก ถ้าอันนี้เกิดขึ้นมาเราจะเข้าใจเรื่องของโลกุตตรธรรมไง
โลกุตตรธรรมเกิดขึ้นมาจากใจดวงใด ใจดวงนั้นมีโอกาสเพราะโลกุตตรธรรม ธรรมเหนือโลกเกิดจากใจดวงนั้นแล้ว แล้ววิปัสสนาเข้ามาจนมันขาดถึงจะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าวิปัสสนาไม่ขาดมันปล่อยวางชั่วคราว เดี๋ยวมันก็เสื่อม ขณะถ้าไม่ถึงจุดหมายปลายทางของมัน ดั่งแขนขาด กิเลสขาดจากใจดั่งแขนขาด ฆ่ากิเลสออกไปจากใจ กิเลสจะหลุดออกไปจากใจโดยธรรมชาติ เห็นโดยความเป็นจริง เห็นไหม สิ่งนี้ต่างหากเป็นสภาวธรรม สิ่งนี้ต่างหากเป็นการฆ่ากิเลส
นี่ ๕,๐๐๐ ปี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกศาสนาของพระตถาคตนี้อยู่ ๕,๐๐๐ ปี นี้กึ่งพุทธกาลนะ เราจะตายจะเกิดตลอดไป เวลาการเกิดร้อยปีนี้เล็กน้อยมาก แล้วเราจะเจอศาสนาไม่เจอศาสนานี้เป็นอำนาจวาสนามาก ขณะที่ปัจจุบันเราเจออยู่นี่ เราจะทำอย่างไร เราจะตั้งโอกาสของเราอย่างไรแล้วให้เราได้ประโยชน์จากศาสนานี้ เอวัง